ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการสมัยใหม่ (Modern Management information System): ธันวาคม 2018

วันพุธที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2561

บทที่ 8 ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ


บทที่ 8
Decision Support System
ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ


     ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ คือ ระบบที่ช่วยในการตัดสินใจเกี่ยวกับการจัดการ การรวบรวมข้อมูล  การวิเคราะห์ข้อมูล  และการสร้างตัวแบบการตัดสินใจที่ซับซ้อน เพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหาที่มีลักษณะกึ่งโครงสร้างและไม่มีโครงสร้างได้ดีขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการทำงานขององค์กร

ความสามารถของ DSS

1.สนับสนุนการตัดสินใจของผู้บริหาร
2.สนับสนุนการสร้างฐานความรู้
3.สนับสนุนการใช้งานของผู้บริหารแบบต่อประสานกับผู้ใช้

ประเภทของตัวแบบ

แบ่งออกเป็น 4 ประเภท
1.ตัวแบบกายภาพ (Physical Models)
2.ตัวแบบกราฟฟิก (Graphical Models)
3.ตัวแบบพรรณา (Descriptive or Narrative Models)
4.ตัวแบบคณิตศาสตร์ (Mathematical Models)

ส่วนประกอบของระบบสนับสนุนการตัดสินใจ

แบ่งออกเป็น 4 ส่วน ดังนี้
1.ระบบการจัดการข้อมูล (Data Management System)
    2.ระบบการจัดการตัวแบบ (Model Management System)
    3.ระบบการจัดการความรู้ (Knowledge Management System)

ระบบการจัดการข้อมูล (Data Management System)

ระบบการจัดการข้อมูล เป็นการรวบรวมข้อมูลทั้งภายนอกภายในองค์การที่มีความสัมพันธ์กับองค์การการไว้ในฐานข้อมูล
   - ฐานข้อมูล Database เป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กับแหล่งข้อมูลภายในองค์การภายนอกองค์การ และข้อมูลความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน
  - ระบบจัดการฐานข้อมูล
  - พจนานุกรมข้อมูล
  -สิ่งอำนวยความสะดวกในการสอบถามข้อมูล

ระบบการจัดการตัวแบบ (Model Management System)

-ระบบการจัดการตัวแบบ เป็นชุดของซอฟต์แวร์สำเร็จรูปที่รวมตัวแบบต่างๆ ที่มีความสารถในการวิเคราะห์ข้อมูล และมีซอฟแวร์ที่ทำหน้าที่จัดการแบบจำลองในงานต่างๆ เรียกว่าระบบจัดการฐานตัวแบบ
   - ฐานตัวแบบ เป็นแหล่งที่เก็บตัวแบบต่างๆ
   - ระบบจัดการฐานตัวแบบ มีหน้าที่มนการสร้างแบบจำลองเพื่อนำมาใช้ในการแก้ปัญหาการทำงาน
- พจจนานุกรมตัวแบบ เป็นรายละเอียดตัวแบบและซอฟต์แวร์ทั้งหมดในฐานตัวแบบ
   - การประมวลผลตัวแบบ

ระบบการจัดการความรู้ (Knowledge Management System)

ระบบการจัดการความรู้ (knowledge Management System) เป็นระบบย่อยที่เพิ่มเติมขึ้นมาเพื่อสนับสนุนระบบย่อยอื่นๆ ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ระบบการติดต่อกับผู้ใช้ (User Interface System)

ระบบการติอต่อกับผู้ใช้ เป็นการจัดการโต้ตอบระหว่างผู้ใช้กับระบบสนับสนุนการตัดสินใจ
โดยผู้ใช้สามารถสื่อสารและสั่งผ่านระบบย่อยนี้เพื่อทำงานกับระบบสนับสนุนการตัดสินใจได้

ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI)

  หมายถึง ความฉลาดเทียมที่สร้างขึ้นให้กับสิ่งที่ไม่มีชีวิต  ปัญญาประดิษฐ์เป็นสาขาหนึ่งในด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์  และวิศวกรรมเป็นหลัก  แต่ยังรวมถึงศาสตร์ในด้านอื่นๆ อย่างจิตวิทยา ปรัชญา ชีววิทยา และการจัดการ มาผสมผสานเข้ากับศาสตร์ทางด้านคอมพิวเตอร์
แบ่งเป็น 4 กลุ่มดังนี้
1.ระบบที่คิดเหมือนมนุษย์
2.ระบบที่กระทำเหมือนมนุษย์
3.ระบบที่คิดอย่างมีเหตุผล
4.ระบบที่กระทำอย่างมีเหตุผล

ระบบสนับสนุนสำหรับผู้บริหารระดับสูง (Excutive Information System : EIS)

   เป็นระบบสารสนเทศที่ผู้บริหารระดับสูงนำมาใช้เปนเครื่องมือช่วยสนับสนุนการบริกหาร การตัดสินใจ การกำหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ วัตถุประสงค์ และเป้าหมาย ตลอดจนการวางแผนกลยุทธ์ให้ถูกต้อง ทันต่อเหตุการณ์ นอกจากนี้ยังช่วยอำนวยประโยชน์ในด้านการติดต่อสื่อสาร และมีสัมพันธภาพที่ดีระหว่างผู้บริหารในองค์การ และมีการตัดสินใจเป็นทีม และไปในแนวทางเดียวกันทั้งระหว่างผู้บริหารระดับสูงด้วยกัน ระหว่างบุคคลากรในองค์การ หรือ การติดต่อสื่อสารระหว่างองค์การ

คุณลักษณะของ EIS

1.สนับสนุนการตัดสินใจแบบไม่มีโครงสร้าง โดยใช้ข้อมูลจากแหล่งภายในและภายนอก
2.ให้สารสนเทศที่ถูกต้อง  ทันต่อเหตุการณ์
3.ผู้บริหารระดับสูงสามารถติดตามหรือประเมินผลการดำเนินงานการใช้ทรัพยากร
4.สามารถคาดคะเนปัญหาต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้น
5.ผู้บริหารระดับสูงสามารถมองเห็นภาพความเป็นไปในธุรกิจได้อย่างชัดเจน
6.เกิดความสะดวกและประหยัดเวลาในการติดตามข้อมูลข่าวสาร
7.ให้ข้อมูลเปรียบเทียบระหว่างองค์กรที่ดำเนินธุรกิจเดียวกัน
8.ช่วยให้ผู้บริหารระดับสูงเล็งเห็นโอกาศใหม่ๆที่แตกต่างไปจากคู่แข่งขัน
9.เพิ่มศักยภาพในการบริหารงานให้เป็นมาตราฐานเดียวกัน


บทที่ 7 Enterprise Applications

บทที่ 7
ระบบสารสนเทศที่สนับสนุนธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์

ระบบสารสนเทศที่สนับสนุนธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ (Enterprise Applications) แบ่งออกเป็น
  1. ระบบการวางแผนทรัพยากรทางธุรกิจ (Enterprise Resource Planning System : ERP)
  2. ระบบการบริหารงานลูกค้าสัมพันธ์ (Customer Relationship Management System : CRM)
  3. ระบบการบริหารห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Managemet System : SCM)

ระบบวางแผนทรัพยากรขององค์กร หรือ ERP

ERP ย่อมาจาก Enterprise Resource Planning หมายถึงการวางแผนควบคุมการปฏิบัติงานและจัดการทรัพยากรภายในองคืกรทั้งหมด

โครงสร้างของ ERP แบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม คือ
  1.Material Resource Planning : MRP หมายถึง ระบบสารสนเทศเพื่อใช้ในการจัดทำแผนความต้องการวัสดุ โดยมีองค์ประกอบของข้อมูลนำเข้าที่สำคัญ 3 รายการ คือ ตารางผลัก แฟ้มข้อมูลบัญชีรายการวัสดุ และแฟ้มข้อมูลสถานะคงคลัง
      2.Finance Resource Management : FRM หมายถึง  ระบบสารสนเทศที่เน้นให้บริการเกี่ยวกับการเงินและบัญลชี โดยอิงตามกฏระเบียบและข้อบังคับตามที่ประเทศนั้นกำหนด
      3.Human Resource Management :HRM หมายถึง ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารงานทางบุคคล
      4.Customer Resource Management : CRM  หมายถึง ระบบสารสนเทศเพื่อบริหารความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรและลูกค้า
      5.Supply Chain Management :SCM หมายถึง ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการกระบวนการไหลของวัสดุสินค้า ตลอดจนข้อมูลและธุรกรรมต่างๆ

ลักษณะสำคัญของระบบ ERP



    1.การบูรณาการระบบงานต่างๆ เข้าด้วยกัน ตั้งแต่การจัดซื้อจัดจ้าง การผลิต การขาย บัญชี การเงิน และการบริหารบุคคล ซึ่งแต่ละส่วนงานจะมีความเชื่อมโยงในด้านการไหลของวัตถุดิบสินค้าและการไหลของข้อมูล
  2.รวมระบบต่างๆ แบบ Real Time ทำให้ข้อมูลเกิดขึ้นในเวลาจริงอย่างทันที ช่วยให้สามารถทำการปิดบัญชีได้ทุกวัน เป็นรายวัน คำนวณ ต้นทุนและกำไรขาดทุนของบริษัทเป็นรายวัน
  3.ระบบ ERP มีฐานข้อมูลรวมนี้สามารถถูกเรียกใช้ได้จากระบบอื่นได้โดยตรงโดยไม่จำเป็นต้องทำ Batch Processing หรือ File Transfer และทำให้ข้อมูลนั้นมีอยู่ที่เดียวได้ ทำให้ข้อมูลของระบบที่ไม่ซำ้ซ้อน ไม่มีความผิดพลาดและขัดแย้งของข้อมูล และเกิดประสิทธิภาพ

คุณสมบัติของ ERP  ที่ดี

  1. มีความยืดหยุ่น (Flexible)
  2. โมดูลเป็นอิสระจากกัน (Modular)
  3. ความครอบคลุม (Comprehensive)
  4. การเชื่อมต่อกับระบบสารสนเทศอื่นนอกเหนือจากองค์กร (Beyond the Company)
  5. มีกระบวนการทำงานที่ดี (Belong to the Best Business Practices)

ประโยชน์ของ ERP

 1.เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารและการปฏิบัติงานให้กับกระบวนการทำงานของธุรกิจ
 2.สร้างระบบงานและกระบวนการทำงานให้ถูกต้อง
 3.ลดความซำ้ซ้อนของการเก็บข้อมูล
 4.มีศูนย์รวมระบบข้อมูลสารสนเทศที่ช่วยตัดสินใจ
 5.เป็นกระบวนดารทำงานที่ดีที่สุดมาใช้ในองค์กร
 6.ความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยน หรือ ขยายระบบงาน
 7.มีระบบการควบคุมภายใน และการรักษาความปลอดภัยที่ดี
 8.ทำให้เกิดรายงานและการวิเคราะห์ที่สามารถใช้สำหรับการวางแผน
 9.ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานระยะยาว

ระบบการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ หรือ CRM

CRM ย่อมาจาก Customer Relationship Management การบริหารงานลูกค้าสัมพันธ์ คือการจัดการกิจกรรมที่เกี่ยวกับลูกค้าในปัจจุบัน และลูกค้าที่คาดว่าจะมีในอนาคต เป็นการประสานกระบวนการขาย การตลาด และการให้บริการทั้งหมด

ประโยชน์ของ CRM

 1.สร้างความจงรักภักดดีของลูกค้าในระยะยาว
 2.เพิ่มยอดขายในระยะยาว
 3.สร้างประวัติ และชื่อเสียงที่ดีของบริษัท
 4.เพิ่มโอกาสในการเติบโตของธุรกิจ
 5.มีการเก็บรวบรวมข้อมูลของลูกค้าในระบบอิเล็กทรอนิกส์
 6.เป็นเครื่องมือช่วยเชื่อมต่อเข้ากับระบบงานอื่นๆ

ขั้นตอนของ CRM

การสร้างสายสัมพันธ์อย่างแท้จริงกับลูกค้าด้วย CRM มีขั้นตอนดังนี้
  1.การค้นหาคุณค่าที่ลูกค้าต้องการ  และคุณค่าที่เหนือกว่าคู่แข่ง
  2.การกำหนดตลาดเป้าหมาย
  3.การนำเสนอคุณค่าแก่ลูกค้า
 4.การประเมิน

การนำเทคโนโลยีสารสนเทศนำมาใช้ใน CRM

 1. ระบบการตลาดอัตโนมัติ (Market Automation)
 2. การขายอัตโนมัติ (Sales Automation)
 3.การบริการ (Service)

เทคโนโลยีที่จำเป็นที่ใช้ในการบริหารลูกค้าสัมพันธ์

1.คลังข้อมูล (Data Warehousing)  เป็นการรวมฐานข้อมูลหลายฐานจากระบบปฏิบัติการเช่นระบบขาย ผลิต บัญชี มาจัดสรุปใหม่หรือเรียบเรียงใหม่ตามหัวข้อต่างๆเพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย เช่นรูปแบบทางธุรกิจ ยอดขายการเติบโตทางเศรษฐกิจ
    2.การขุดค้นข้อมูล (Data Minning and Online Analytical Processing ) หรือ  OLAP  เป็นเครื่องมือหรือซอฟท์แวร์ที่ดึงข้อมูล และวิเคราะห์จากข้อมูลปฏิบัติการ จากระบบฐานข้อมูลต่างๆ (คลังข้อมูล) เพื่อนำมาวิเคราะห์ทางสถิติ
   3.การใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต (Internet Technology) เป็นการนำเทคโนโลยีใมาใช้ปรับปรุงปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า
  4.ระบบศูนย์บริการลูกค้า (Call-Center) การใช้ระบบ PC telephony รวมถึง Internet telephony ซึ่งเป็นการรวมระบบโทรศัพท์เข้ากับระบบงานต่างๆ
  5.ระบบโทรศัพท์มือถือ ความสามารถที่เพิ่มขึ้นของโทสศัพท์มือถือ ทำให้สามารถรับส่งข้อมูลได้ทั้งในรูปแบบของ ภาพ เสียง ข้อมูล ภาพเคลื่อนไหว เนื่องจากจำนวนผู้ใช้โทรศัพท์มือถือทั้งที่มีอยู่และอัตราการเติบโตที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้โทรศัพท์มีบทบาทสำคัญในการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า

e-CRM

Electronic Customer Relationship Management หรือ e-CRM คือ การบริหารจัดการความสัมพันธ์ของลูกค้าโดยใช้อินเทอร์เน็ตเป็นสื่อกลาง  รูปแบบของ e-CRM เป็นไปได้ทั้งการใช้ E-Mail กิจกรรมด้าน E-commercr และอีกหลายวิธีที่สามารถติดต่อเข้าถึงลูกค้าได้บนพื้นฐานของอินเทอร์เน็ต

เทคโนโลยีของ e-CRM

การนำ e-CRM มาใช้ให้ประสบความสำเร็จอาจจะแบ่งกลุ่มเทคโนโลยีหลัก ดังนี้
  1.เทคโนโลยีการจัดการฐานข้อมูล
  2.เทคโนโลยีที่สามารถโต้ตอบได้
  3.เทคโนโลยีการผลิตสินค้าที่ได้มาตรราฐานเดียวกันเป็นจำนวนมากแต่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าเฉพาะกลุ่ม
 4.เทคโนโลยีด้านโทรคมนาคม

คุณสมบัติที่ดีของ e-CRM

 1.มีความสามารถในการให้บริการอย่างมีประสิทธิภาพ
 2.มีความสามารถในการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพรวดเร็ว
 3.ประเมินความต้องการของลูกค้าล่วงหน้า
 4.มีการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาใช้ในระบบการทำงาน
 5.มีการอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าในการรับข้อมูลที่ตัวเองสนใจ และทันต่อเหตุการณ์

ระบบการบริหารห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Management System : SCM)

Supply Chain Management SCM คือ กระบวนการโดยรวมของการไหลของวัสดุ สินค้า ตลอดจนข้อมูล และธุรกรรมต่างๆ ผ่านองค์การที่เป็นผู้ส่งมอบ  ผู้ผลิต ผู้จำหน่าย ไปจนถึงลูกค้าหรือผู้บริโภค โดยที่องค์การต่างๆเหล่านี้มีความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรที่เกี่ยวข้อง

โครงสร้างโซ่อุปทาน (Supply Chain Model)

  - เป็นการอธิบายการไหลของวัตถุดิบต่างๆ ข้อมูลทางการเงิน และการบริการต่างๆตั้งแต่ผู้ขายวัตถุดิบทั้งหลายมาจนถึงโรงงาน และจากโกดังเก็บสินค้าไปจนถึงลูกค้าท้ายที่สุด
  - ลักษณะโครงสร้างของโซ่อุปทานมีอยู่หลายรูปแบบส่วนมากมีลักษณะที่คล้ายๆกัน ไม่แตกต่างกันมากนัก ซึ่งมีรูปแบบการไหลในลักษณะของอัปสตรีม
  - การระบุว่าจุดไหนคืออัปสตรีมนั้น ให้ใช้ตำแหน่งของบริษัทที่พิจารณาเป็นหลัก
  - การเรียงลำดับส่วนประกอบของโซ่อุปทานจากอัปสตรีมไปยังดาวน์สตรีมอาจจะเรียงได้ดังนี้
       1.ผู้จัดจ่ายวัตถุดิบ/ส่วนประกอบ
       2.ผู้ผลิต
       3.ผู้ค้าส่ง/ผู้กระจายสินค้า
       4. ผู้ค้าปลีก
       5.ผู้บริโภค

แนวคิดการบริหารห่วงโซ่อุปทาน

   1.เปลี่ยนจากการทำงานตามบทบาทและหน้าที่ของแต่ละฝ่ายเป็นการทำงานร่วมกันเป็นกระบวนการ
       2.เปลี่ยนเป้าหมายที่กำไรเป็นการทำงานที่มีเป้าหมายหลายด้าน
       3.เปลี่ยนจากการมุ่งเน้นผลิตภัณฑ์เป็นการมุ่งเน้นลุกค้า
       4.รักษาปริมาณสินค้าคงคลังในระดับที่เหมาะสม
       5.สร้างสัมพันธภาพที่ดีระหว่างหน่วยธุรกิจต่างๆ

ประโยชน์ของ SCM

1.ลดระดับของสินค้าคงคลัง
2.เพิ่มผลิตภาพ
3.ลดความสูญเปล่าในกระบวนการทำงาน
4.ลดรอบเวลาของการทำธุรกรรม
5.การเพิ่มโอกาสในการออกสินค้าใหม่ให้เร็วขึ้น
6.การเปิดตลาดใหม่ๆ
7.การสร้างความพอใจให้แก่ลูกค้ามากขึ้น
8.ลดต้นทุนธุรกิจ
9.มีการบริหารเงินทุนหมุนเวียนที่ดี

การประยุกต์ใช้กลยุทธ์การบริหาร SCM

กลยุทธ์ของ SCM สามารถแบ่งประเด็นสำคัญได้ดังนี้
1.ความยืดหยุ่นในระบบ
2.องค์กรควรมีการออกแบบระบบให้เหมาะสม
3.มีการจัดแบ่งลูกค้าและสินค้า
4.การบริหารการพัฒนาสินค้า การบริหารต้นทุนเป้าหมายของสินค้า การบริหารต้นทุนของสินค้าตลอดช่วงอายุ
5.การผลิตภัณฑ์สินค้า /บริการเฉพาะลูกค้า
6.การใช้ข้อมูลอย่างเหมาะสม
7.การลดความสูญเสีย
8.การสร้างพันธภาพ
9.การใช้ประโยชน์จากอิเล็กทรอนิกส์


วันอังคารที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2561

บทที่6 E-commerce

บทที่ 6E-commerce พาณิชอิเล้กทรอนิกส์


E-Business & E-commerce


         (E-Business) หมายถึง  การดำเนินธุรกิจโดยอาศัยเทคโนโลยีด้านอิเล็กทรอนิกส์และอินเทอร์เน็ตเป็นสื่อกลาง  โดยมีการประยุกต์ใช้ในทุกกิจกรรมของธุรกิจ ทั้งกิจกรรมส่วนหน้า (Front Office) และกิจกรรมส่วนหลัง (Back Office) รวมทั้งการเชื่อมต่อกับระบบการค้ากับองค์กรภายนอกด้วย

       (E-commerce) หรือ พาณิชอิเล็กทรอนิกส์  หมายถึง การดำเนินซื้อขสยสินค้าหรือบริการระหว่างธุรกิจ  บุคคลภาครัฐ และองค์กรสาธารณะ  โดยผู้ซื้อและผู้ขายจะต้องติดต่อซื้อขายกันทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ซนึ่งครอบคลุมตั้งแต่ระดับเทคดนดลยีพื้นฐาน เช่น โทรศัพท์ โทรสาร โทรทัศน์ ไปจนถึงเทคโนโลยีที่มีความซับซ้อน เช่นอิเทอร์เน็ตและสามารถทำการแลกเปลี่ยนและติดต่อในเรื่องต่างๆ เช่น การชำระเงิน การจัดส่ง ผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์

โครงสร้างของธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์

   แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ดังนี้
  1.กิจกรรมส่วนหน้า  (Front Office)
  2.กิจกรรมส่วนหลัง (Back Office)
  3.กิจกรรมกับองค์กรภายนอก (Extra-back Office)
  

ประโยชน์ของพาณิชอิเล็กทรอนิกส์

  กรอบการทำงานของพาณิชอิเล็กทรอนิกส์

    แบ่งออกเป็น 4 ส่วน ได้แก่
     1. การประยุกต์ใช้ (E-commerce Application) หมายถึง ลักษณะงานที่จะนำ e-commerce มาประยุกต์   ใช้ให้เกิดความเหมาะสมกับธุรกิจ
     2. โครงสร้างพื้นฐาน  (E-commerce Infrastructure)  หมายถึง องค์ประกอบหลักสำคัญด้านเทคโนโลยีพื้นฐานที่จะทำให้ระบบพาณิชอิเล็กทรอนิกส์ทำงานได้ต่อไป
     3. การสนับสนุน (E-commerce Supporting) เป็นส่วนที่คอยทำหน้าที่ช่วยเหลือและสนับสนุนส่วนของการประยุกต์ใช้ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
     4. การจัดการ (E-commerce Management)  หมายถึง การวิเคราะห์ถึงองค์ประกอบของแบบจำลองทางธุรกิจ  เพื่อกำหนดรูปแบบของธุรกิจพาณิชอิเล็กทรอนิกส์ที่คาดว่าจะสร้างผลกำไรให้กับองค์กรได้เหนือคู่แข่งขัน

รูปแบบการทำธุรกรรมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์

   ได้แบ่งรูปแบบการทำธุรกรรมพาณิชอิเล็กทรอนิกส์  ออกเป็น 3 มิติ ได้แก่ 

       - ด้านผลิตภัณฑ์  (product)
       - กระบวนการ (process)
       - ตัวแทนการส่งมอบสินค้า (agent)
    อาจแบ่งรูปแบบการทำธุรกรรมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ออกเป็น 2  ลักษณะดังนี้
     1.พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์แบบเต็มรูปแบบ
     2.พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์แบบบางส่วน

โมเดลทางธุรกิจ  EC

 แบ่งเป็น 3 แบบดังนี้
     1.บริคแอนด์มอร์ต้า (Brick and Mortar ) หมายถึง  ธุรกิจที่มีอาคารสถานที่เป็นอิฐและปูนประกอบการค้าขาย แบบ "Off-line" คือไม่ได้ขายสินค้าหรือบริการผ่านอินเทอร์เน็ต
     2. บริคแอนด์คลิ้ก (Brick and Click) หมายถึง ธุรกิจที่มีอาคารสถานที่เป็นอิฐและปูน ซั่งเดิมเป็นรูปแบบธุรกิจบริคแอนด์มอร์ต้า แต่ต่อมาขยายธุรกิจที่ให้บริการบนอินเทอร์เน็ตด้วยทจึงทำทั้งแบบออฟไลน์และ
ออนไลน์  เนื่องจากต้องการผสมผสานความได้เปรียบทางการแข่งขันมาจากธุรกิจทั้งทางด้านความชำนาญ ฐานข้อมูลและสายสัมพันธ์  มาจากธุรกิจเดิมที่ดำเนินงานอยู่  เช่น www.amazon.com, www.sanook.com,www.ToHome.com


ประเภทของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์


  1.  กลุ่มธุรกิจที่ค้ากำไร (Profit) แบ่งเป็น 4 ประเภท คือ
      -   Business-to-Consumer (B2C) เป็นธุรกรรมที่กระทำระหว่างผู้ประกอบการกับผู้บริโภคทั่วไป ซึ่งเป็นการค้าขายแบบขายปลีก ที่มีทั้งการสั่งซื้อสินค้าจำนวนไม่มากและมูลค่าการซื้อขายไม่สูงมากนัก เช่น www.tohome.com, www.misslily.com, www.yahoo.com, www.amazon.com
      -   Business-to-Business (B2B)  เป็นธุรกรรมที่กระทำระหว่างธุรกิจด้วยกันเอง ส่วนใหญ่จะมีการสั่งซื้อสินค้าในปริมาณมากและมีมูลค่าการซื้อขายแต่ละครั้งจำนวนสูง  ได้แก่ การสั่งซื้อสินค้าจากผู้ผลิตเป็นต้น  เช่น www.FoodMarketExchange.com, Cisco.com, Intel.com
     -    Consumer-to-Business (C2B) เป็นการทำธุรกรรมการค้าระหว่างผู้บริโภคกับผู้ประกอบการ  เช่น www.voxcap.com, www.thaitambon.com
     -    Consumer-toConsumer (C2C) เป็นการทำธุรกรรมระหว่างบุคคลกับบุคคลที่เป็นกลุ่มผู้ซื้อ/ลูกค้าหรือผู้ใช้ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ที่ไม่ใช่รูปแยยของร้านค้า เช่น www.ThaiSeconHand.com, www.E-bay.com

2.กลุ่มธุรกิจที่ไม่ค้ากำไร (Non-Profit)  แบ่งเป็น
     - Business-to-Government (B2G) เป็นธุรกรรมระหว่างธุรกิจกับภาครัฐ
     - Government-to-Citizent (G2C) เป็นการทำธุรกรรมภาครัฐกับประชาชนโดยไม่ค้ากำไร
     - Business-to-Employees(B2E)  เป็นการทำธุรกรรมภายในองค์กรกับพนักงาน
     - Exchange-to-Exchange (E2E) เป็นการทำธุรกรรมโดยอาศัย E-commerce เป็นช่องทางสำหรับแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการระหว่างกัน
     - Intrabusiness EC เป็นการทำธุรกรรมที่อาศัยระบบเครือข่ายอินทราเน็ต  สำหรับสื่อกลางในการติดต่อซื้อขายแลกเปลี่ยสินค้า  บริการ และสารสนเทศ
    - Collaborative Commerce (C-Commerce) เป็นการทำธุรกรรมระหว่างผู้ร่วมค้าทางธุรกิจ  ที่ต้องปฏิสัมพันธ์ร่วมกันภายในห่วงโซ่อุปทาน

ประเภทของสินค้าและบริการ

แบ่งประเภทของสินค้าและบริการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์  ตามความหมายขององค์การค้าโลก (World  Trade Organization :WTO)
   1. สินค้าที่จับต้องได้ (Tangible Goods)
   2. สินค้าที่จับต้องไม่ได้ (Intangible Goods) หรือสินค้าดิจิทัล (Digital goods)
   3. กลุ่มสินค้าบริการ (Services)
   4. Mobile Commerce (M-Commerce)
   5. Social Conmmerce (S-Commerce)
   6. Nonbusiness E-Commerce
      

ประเภทของเว็บไซต์ EC

  1. เว็บไซต์แคตตาล็อกสินค้าออนไลน์ (Online Catalog Web Site) เป็นเว็บไซต์ในรูปแบบของการให้ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าเพื่อประกอบการตัดสินใจซื้อสินค้า  เช่น www.Tarad.com
  2. ร้านค้าออนไลน์ (E-shop Web Site) เป็นรูปแบบเว็บไซต์ที่มีความสมบูรณ์แบบโดยมีทั้งระบบการจัดการสิน้า ระบบตระกร้าสินค้า ระบบการชำระเงิน ระบบการขนส่ง ผู้ซื้อสามารถทำการสั่งซื้อสินค้า และชำระเงินผ่านเว็บไซต์ทันที เช่น www.Thaigem.com
  3. การประมูลสินค้า (Auction) เป็นเว็บไซต์ในรูปแบบของการนำเสนอการประมูลสินค้า โดยเป็นการแข่งขันเสนอราคาระหว่างผู้ต้องการประมูล และขายห้กับผู้ให้ราคาสงสุด เช่น www.Ebay.com
 4. การประกาศซื้อขาย (E-classified) เป็นเว็บไซต์ในรูปแบบของการเปิดโอกาสให้ผู้สนใจประกาศความต้องการขายสินค้าของตนได้ภายในเว็บไซต์ เช่น www.Panthipmaket.com
 5. ตลาดกลางอิเล็กทรอนิกส์ (E-maketplace) เป็นเว็บไซต์ในรูปแบบของตลาดนัดขนาดใหญ่ โดยมีการรวบรวมเว็บไซต์ของร้านค้าต่างๆ และจัดแบ่งเป็นหมวดหมู่  เช่น www.Talad.com

ตลาดกลางอิเล็กทรอนิกส์

  ตลาดกลางอิเล็กทรอนิกส์  หรือ Electronic Maketing : E-maketing หมายถึง การดำเนินกิจกรรมทางการตลาดโดยใ้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ เช่น คอมพิวเตอร์ เป็นเครื่องมือในการดำเนินกิจกรรมทางการตลาดกลับกลุ่มเป้าหมาย เป็นกิจกรรมที่เป็นการสื่อสาร 2 ทาง และเป็นกิจกรรมที่นักการตลาดสามารถติดต่อกับผู้บริโภคได้ทั่วโลก

หลักการตลาดพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์

  หลักตลาดของธุรกิจทั่วไปจะมีการนำหลัก 4p มาใช้คือ
   1.Product
   2.Price
   3.place
   4.Promotion


ขั้นตอนการทำธุรกรรมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์


  1.การหาข้อมูล/การโฆษณาประชาสัมพันธ์ (Searching and Advertising)
  2.การทำธุรกรรม (Transaction)
  3.การทำคำสั่งซื้อ (Ordering)
  4.การชำระเงิน (Payment)
  5.การจัดส่ง (Delivery)


ลักษณะการใช้งานระบบตระกร้าสินค้า




รูปภาพที่เกี่ยวข้อง




บทที่ 8 ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ

บทที่ 8 Decision Support System ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ      ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ คือ ระบบที่ช่วยในการตัดสินใจเกี่ยวกับการจัดการ ...