ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ
(Management Information System : MIS)
![]() |
Text Book |
ความหมายของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ
ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ (Management
Information Systems) (MIS) เป็นระบบเกี่ยวกับการจัด หาคน
หรือข้อมูลที่สัมพันธ์กับข้อมูล เพื่อการดำเนินงานขององค์การ เช่น การใช้ MIS เพื่อช่วยเหลือกิจกรรมของลูกจ้าง เจ้าของกิจการ ลูกค้า
และบุคคลอื่นที่เจ้ามาเกี่ยวข้องกับองค์การ การประมวลผลของข้อมูลจะช่วยแบ่งภาระการ
ทำงานและยังสามารถนำ สารสนเทศมา ช่วยในการตัดสินใจของผู้บริหาร หรือ MIS เป็นระบบซึ่งรวมความสามารถของผู้ใช้งานและคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกัน
โดยมีจุดมุ่งหมาย เพื่อให้ได้มาซึ่งสารสนเทศเพื่อการดำเนินงานการจัดการ
และการตัดสินใจในองค์การ หรือ MIS หมายถึงการเก็บรวบรวมข้อมูล
การ ประมวลผล และการสร้างสารสนเทศขึ้นมาเพื่อช่วยในการตัดสินใจ การประสานงาน
และการควบคุม นอกจากนั้นยังช่วยผู้บริหาร และ พนักงานในการวิเคราะห์ปัญหา แก้ปัญหา
และสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ โดย MIS จะต้องใช้อุปกรณ์ทางคอมพิวเตอร์
(Hardware) และ โปรแกรม (Software) ร่วมกับผู้ใช้ (Peopleware) เพื่อก่อให้เกิดความสำเร็จในการได้มาซึ่งสารสนเทศที่มีประโยชน์
การใช้งานระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ (Management Information
Systems) ได้ขยายขอบเขตเกี่ยว ข้องกับ
หลายหน้าที่ในองค์การและเป็นประโยชน์กับบุคคลหลายระดับ ตั้งแต่การใช้งานส่วนบุคคล
กลุ่ม องค์การ และระหว่างหน่วยงาน MIS ช่วยให้ผู้ใช้สารสนเทศสามารถแก้ไขปัญหาทางธุรกิจที่ยุ่งยาก
และซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนสร้างโอกาสทางธุรกิจ ให้กับหลายองค์การ
คุณสมบัติของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ
1. ความสามารถในการจัดการข้อมูล Data
Manipulation(ดาต้า มาลิพลูเลชัน)
ระบบสารสนเทศที่ดีต้องสามารถปรับปรุงแก้ไขและจัดการข้อมูล
เพื่อให้เป็นสารสนเทศที่พร้อมสำหรับนำไปใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ ปกติข้อมูลต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องกับ
การดำเนินธุรกิจจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ข้อมูลที่ถูกป้อนเข้าสู่ MIS
ควรที่จะได้รับการปรับปรุงแก้ไขและพัฒนารูปแบบ เพื่อให้ความทันสมัยและเหมาะสมกับการ
ใช้งานอยู่เสมอ
2. ความปลอดภัยของข้อมูล Data
Security (ดาต้า ชิคิวลิตี้)
ระบบสารสนเทศเป็นทรัพยากรที่สำคัญอีกอย่างขององค์การ
ถ้าสารสนเทศรั่วไหลออกไปสู่ บุคคลภายนอก โดยเฉพาะคู่แข่งขัน
อาจทำให้เกิดความเสียโอกาสทางการแข่งขัน
3. ความยืดหยุ่น Flexibility(แฟกอิบิลิตี้)
สภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจหรือสถานการณ์การแข่งขันทางการค้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ส่งผลให้ระบบสารสนเทศที่ดีต้องมีความสามารถในการปรับตัว
เพื่อให้สอดคล้องกับการใช้งานหรือปัญหาที่เกิดขึ้น
4. ความพอใจของผู้ใช้
User Satisfaction(ยูเซอ ชาดิเฟกชัน)
การพัฒนาระบบต้องทำการพัฒนาให้ตรงกับความต้องการ
และพยายามทำให้ผู้ใช้พอใจกับระบบ
เมื่อผู้ใช้เกิดความไม่พอใจกับระบบทำให้ความสำคัญของระบบลดน้อย
ลงไป อาจจะทำให้ไม่คุ้มค่ากับการลงทุนได้
ประโยชน์ของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ
ปัจจุบันได้มีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้งานด้านต่างๆ
มากขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าสารสนเทศ เพื่อการจัดการมีประโยชน์ดังนี้
1.ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงสารสนเทศที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วและทันต่อเหตุการณ์เนื่องจากข้อมูลถูกจัดเก็บและบริหารอย่างเป็ยนระบบ
ทำให้ผู้บริหารสามารถจะเข้าถึงข้อมูล ได้อย่างรวดเร็วในรูปแบบที่เหมาะสม
และสามารถนำข้อมูลมาใช้ประโยชน์ได้ทันต่อความต้องการ
2.ช่วยผู้ใช้ในการกำหนดเป้าหมายกลยุทธ์และการวางแผนปฏิบัติการโดยผู้บริหารจะสามารถนำข้อมูลที่ได้จากระบบสารสนเทศมาช่วยในการวางแผนและกำหนดเป้าหมายในการ
ดำเนินงาน เนื่องจากสารสนเทศถูกเก็บรวบรวม
และจัดการอย่างเป็นระบบทำให้มีประวัติของข้อมูลอย่างต่อเนื่อง
สามารถที่จะบ่งชี้แนวโน้มของการดำเนินงานว่าน่าจะเป็นไปในลักษณะใด
3.ช่วยให้ผู้ใช้ในการตรวจสอบผลการดำเนินงาน
เมื่อแผนงานถูกนำไปปฏิบัติในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
ผู้ควบคุมจะต้องตรวจสอบผลการดำเนินงานโดยนำข้อมูลบางส่วนมาประมวลผล
เพื่อประกอบการประเมินสารสนเทศที่ได้จะแสดงให้เห็นผลการดำเนินงานว่าสอดคล้องกับเป้าหมายที่ต้องการเพียงใด
4.ช่วยผู้ใช้ในการศึกษาและวิเคราะห์สาเหตุของปัญหา
ผู้บริหารสามารถใช้ระบบสารสนเทศ ประกอบการศึกษา และการค้นหาสาเหตุ
หรือข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นในการดำเนินงาน
ถ้าการดำเนินงานไม่เป็นไปตามแผนที่วางเอาไว้
โดยอาจจะเรียกข้อมูลเพิ่มเติมออกมาจากระบบ เพื่อให้ทราบว่าความผิดพลาดในการปฏิบัติงานเกิดขึ้น
จากสาเหตุใด หรือจัดรูปแบบสารสนเทศในการวิเคราะห์ปัญหาใหม่
5.ช่วยให้ผู้ใช้สามารถวิเคราะห์ปัญหาหรืออุปสรรคที่เกิดขึ้น
เพื่อหาวิธีควบคุม
ปรับปรุงและแก้ไขปัญหาสารสนเทศที่ได้จากการประมวลผลจะช่วยให้ผู้บริหารวิเคราะห์ว่าการ
ดำเนินงานในแต่ละทางเลือกจะช่วยแก้ไขปัญหาหรือควบคุมปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างไร
ธุรกิจต้องทำอย่างไรเพื่อปรับเปลี่ยนหรือพัฒนา
ให้การดำเนินงานเป็นไปตามแผนงานหรือเป้าหมาย
6.ช่วยลดค่าใช้จ่าย
ระบบสารสนเทศที่มีประสิทธิภาพช่วยให้ธุรกิจลดเวลา แรงงาน และค่าใช้จ่าย ในการทำงานลง
เนื่องจากระบบสารสนเทศสามารถรับภาระงานที่ต้องใช้แรงงาน จำนวนมาก
ตลอดจนช่วยลดขั้นตอนในการทำงาน
ส่งผลให้ธุรกิจสามารถลดจำนวนคนและระยะเวลาในการประสานงานให้น้อยลง
โดยผลงานที่ออกมาอาจเท่าเดิมหรือดีกว่าซึ่งจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพและศักยภาพในการแข่งขันของธุรกิจ
ระบบสารสนเทศในองค์กร
บทบาทของระบบสารสนเทศในองค์กร
หมายถึง
โครงสร้างทางสังคมอย่างเป็นทางการที่มีความมั่นคง
โดยรับเอาทรัพยากรจากสิ่งแวดล้อมมาผ่านกระบวนการเพื่อสร้างหรือผลิตผลลัพธ์
คำจำกัดความด้านเทคนิคนี้จะเน้นองค์ประกอบ 3 ส่วนคือ
1.ปัจจัยหลักด้านการผลิต ได้แก่
เงินทุนและแรงงาน
2.กระบวนการผลิต
ซึ่งจะเปลี่ยนสิ่งที่นำเข้าให้เป็นผลิตภัณฑ์
3.ผลผลิต ได้แก่ สินค้าและบริการ
ผลกระทบของระบบสารสนเทศในองค์กร
มีผลกระทบต่อกระบวนการทำงานและโครงสร้างขององค์กรดังนี้
1.ลดระดับขั้นของการจัดการ
2.มีความคล่องตัวในการดำเนินงาน
3.ลดขั้นตอนการดำเนินงาน
4.เปลี่ยนแปลงงกระบวนการจัดการ
5.กำหนดขอบเขตการดำเนินงานใหม่
องค์กรเสมือนจริง (Virtual Organization)
เป็นรูปแบบขององค์กรแบบใหม่
ซึ่งเป็นเครือข่ายขององค์การที่เชื่อมโยงกันด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อแลกเปลี่ยนทักษะ
ลดต้นทุน สร้างและกระจายสินค้าและบริการ
โดยไม่มีข้อจำกัดเกี่ยวกับสถานที่ตั้งขององค์กร ลักษณะขององค์กรเสมือนจริงมีดังนี้
1.มีขอบเขตขององค์การไม่ชัดเจน
เนื่องจากอาจกระจายอยู่ต่างสถานที่กัน
ทำให้ยากต่อการกำหนดขอบเขตที่แน่ชัดขององค์กร
2.มีความเป็นเลิศ องค์กรอิสระแต่ละองค์กรจะนำความสามารถหลักหรือความเป็นเลิศมาใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์ทางการตลาด
3.ใช้เทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคม
4.มีความไว้วางใจ
5.มีโอกาสทางการตลาด องค์กรอิสระต่างๆ
อาจรวมกันเป็นองค์กรเสมือนจริงในลักษณะถาวรหรือชั่วคราวเนื่องจากเห็นว่ามีโอกาสทางการตลาด
และสลายตัวเมื่อโครงการจบ
ระดับของผู้ใช้ระบบสารสนเทศ
1.ผู้ปฏิบัติงาน (Worker) เป็นบุคลากรที่ดำเนินงานด้านการสนับสนุนและอำนวยความสะดวกให้กับบุคลากรฝ่ายต่างๆ
เป็นผู้ทำกิจกรรมประจำวันตลอดจนจัดทำฐานข้อมูลและรายงานขององค์กร
2.ผู้บริหารระดับปฏิบัติการ (Operational Manager)
หรือเรียกทั่วไปว่า หัวหน้างาน
ผู้บริหารระดับนี้จะทำหน้าที่ควบคุมและดูแลการดำเนินงานประจำวันของบุคลากรระดับปฏิบัติบัติงานให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
3.ผู้บริหารระดับกลาง (Middle
Manager) เป็นผู้ที่กำกับการบริหารงานของผู้บริหารระดับปฏิบัติการ
รวมทั้งวางแผนกลยุทธ์วิธีเพื่อให้การดำเนินงานขององค์การบรรลุเป้าหมาย
นอกจากนี้ยังต้องทำหน้าที่ประสานงานกับผู้บริหารระดับสูงเพื่อรับนฌยบาย แล้วนำมาวางแผนการปฏิบัติงาน
4.ผู้บริหารระดับสูง (Senior Manager) หรือเรียกว่า Exective
Managers เป็นผู้บริหารระดับสูงสุดขององค์การ
เป็นผู้ที่รับผิดชอบด้านการวางแผนกลยุทธ์
ในการกำหนดเป้าหมาย และ วัตถุประสงค์ขององค์การตลอดจนดูแลองค์การในภาพรวม
ความสัมพันธ์ของระบบสารสนเทศแบบต่างๆ
ความสัมพันธ์ของระบบสารสนเทศแบบต่างๆ
ในองค์การ โดยปกติแล้ว TPS จะเป็นแหล่งข้อมูลพื้นฐานให้กับระบบสารสนเทศอื่นๆ
ในขณะที่ EIS จะเป็นการระบบที่รับข้อมูลจากระบบสารสนเทสในระดับที่ต่ำกว่านอกจากนี้
ในระบบสารสนเทศฝ่ายผลิต และระบบสารสนเทศฝ่ายจัดส่งสินนค้า เป็นต้น
คุณสมบัติที่ดีของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ
1.ความสามารถในการจัดการข้อมูล (data
manipulation) เพื่อให้เป็นสารสนเทศที่ พร้อมสำหรับนำไปใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ
ปกติข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
2.ความมั่นคงของข้อมูล (data
security) ที่เกิดขึ้นอาจจะเกิดจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือ
การก่อกการร้ายต่อระบบทำให้สารสนเทศรั่วไหลออกไปสู่บุคคลภายนอก
3.ความยืดหยุ่น (flexibility)
สามารถในการปรับตัวได้เข้ากับสถานการณ์ได้เพื่อให้สอดคล้องกับการใช้งาน
การบำรุงรักษา และค่าใช้จ่ายที่เหมาะสม
4.ความพอใจของผู้ใช้ (user satisfaction)
โดยพัฒนาระบบให้ตรงกับความต้องการ และพยายามทำให้ผู้ใช้เกิดความพอใจ สามารถกระตุ้นหรือโน้มน้าวให้ผู้ใช้หันมาใช้ระบบ
ให้มากขึ้นทำให้ระบบมีความสำคัญและคุ้มค่ากับการลงทุน
การประยุกต์ใช้ธุรกิจเพื่อสังคม
1.Social Network
คือ
เครือข่ายสังคมออนไลน์
หรือเป็นการบริการที่เชื่อมโยงคนหลายคนเข้าไว้ด้วยกันผ่านอินเตอร์เน็ต ตัวอย่างของ
Social
Network ได้แก่ Facebook Twitter Hi5 Blogger เป็นต้น
ซึ่งเปรียบเหมือนสังคมจำลองเสมือนจริง
2.Crowdsourcing
คือการกระจายปัญหาไปยังกลุ่มค้นเพื่อค้นหาคำตอบ
และวิธีการในการแก้ปัญหาทางธุรกิจนั้นๆ บริษัทสามารถ broadcast
คำถามหรือปัญหาที่ต้องการคำตอบไปยังกลุ่มคนขนาดใหญ่เพื่อให้ได้มาซึ่งวิธีการใหม่
ๆ Crowd หรือ User ส่วนมากในการทำ Crowdsourcing เราจะหมายถึงกลุ่มชุมชน Online
3.Blogs
and wikis
เป็นรูปแบบเว็ปไซต์ประเภทหนึ่ง
ซึ่งถูกเขียนขึ้นในลำดับที่เรียงตามเวลาในการเขียน
ซึ่งจะแสดงข้อมูลที่เขียนล่าสุดไว้แรกสุด บล็อกโดยปกติจะประกอบด้วย ข้อความ ภาพ ลิงก์ ซึ่งบางครั้งจะรวมสื่อต่างๆ ไม่ว่า เพลง หรือวิดีโอ ในหลายรูปแบบได้ จุดที่แตกต่างของบล็อกกับเว็บไซต์โดยปกติคือ
บล็อกจะเปิดให้ผู้เข้ามาอ่านข้อมูล สามารถแสดงความคิดเห็นต่อท้ายข้อความที่เจ้าของบล็อกเป็นคนเขียน
ซึ่งทำให้ผู้เขียนสามารถได้ผลตอบกลับโดยทันที คำว่า "บล็อก"
ยังใช้เป็นคำกริยาได้ซึ่งหมายถึง การเขียนบล็อก
และนอกจากนี้ผู้ที่เขียนบล็อกเป็นอาชีพก็จะถูกเรียกว่า "บล็อกเกอร์" บล็อกเป็นเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาหลากหลายขึ้นอยู่กับเจ้าของบล็อก
โดยสามารถใช้เป็นเครื่องมือสื่อสาร การประกาศข่าวสาร การแสดงความคิดเห็น
การเผยแพร่ผลงาน ในหลายด้านไม่ว่า อาหาร การเมือง เทคโนโลยี หรือข่าวปัจจุบัน
นอกจากนี้บล็อกที่ถูกเขียนเฉพาะเรื่องส่วนตัวหรือจะเรียกว่ไดอารีออนไลน์ ซึ่งไดอารีออนไลน์นี่เองเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้บล็อกในปัจจุบัน
นอกจากนี้ตามบริษัทเอกชนหลายแห่งได้มีการจัดทำบล็อกของทางบริษัทขึ้น
เพื่อเสนอแนวความเห็นใหม่ใหักับลูกค้า
โดยมีการเขียนบล็อกออกมาในลักษณะเดียวกับข่าวสั้น
และได้รับการตอบรับจากทางลูกค้าที่แสดงความเห็นตอบกลับเข้าไป เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์
4.Socail
commerce
Social Commerce เป็นธุรกรรมเชิงพาณิชย์ที่เกิดขึ้นอย่างแพร่หลาย
ต่างกับเทคโนโลยีใหม่อื่นๆ ที่ต้องใช้เวลานาน กว่าจะมีผู้ใช้อย่างกว้างขวาง
ทั้งนี้เป็นการผสาน E-Commerce และ Social Media รวมเป็นคุณสมบัติ 6C
1.เนื้อหา – Content ส่วนสำคัญที่สุด
ผู้ประกอบการมีรายละเอียดสินค้าบนเว็บไซต์ของตนและปรับปรุงให้ทันสมัย
และลูกค้าสามารถใช้ Search Engine ค้นหาข้อมูลสินค้าและข้อมูลด้านอื่นของสินค้านั้นได้
เพื่อประกอบการตัดสินใจ เช่น สื่อโฆษณาใน Youtube และ
รีวิวความคิดเห็นจากลูกค้ารายอื่น การให้คะแนนจากลูกค้าที่เคยใช้สินค้า ข้อมูลที่ลูกค้าตรวจสอบจากการใช้สินค้าผ่านบทวิจารณ์สินค้า
หรือ Comment เกี่ยวกับสินค้าใน Social Media ต่างๆ
2.การพาณิชย์ – Commerce รูปแบบพาณิชย์ของ Social Media สามารถสนองตอบความต้องการทุกรูปแบบของลูกค้าได้
รับรองประเภทสินค้าและบริการได้มากชนิดขึ้น มีตั้งแต่ระดับเล็กๆจนถึงระดับใหญ่
และการติดต่อได้หลากหลายช่องทางมากกว่าเดิม รูปแบบพาณิชย์ใหม่ๆ
มีตั้งแต่ การรับดูดวงผ่าน Skype ประกาศขายสินค้าทาง Instagram
, Facebook Shop ,รับออร์เดอร์สินค้าแบบขายส่งผ่าน Line อื่นๆอีกมากมาย
3.บริบท –Context Social
Commerce อยู่บนพื้นฐาน E-Commerce นั้นมีสภาพแวดล้อมและเงื่อนไขต่างๆ
ที่ต้องประสานการทำงานกับระบบ ระบบขนส่ง ระบบการชำระเงิน หรือระบบอื่นๆ
ซึ่งระบบเหล่านี้มีให้บริการออนไลน์ ให้ใช้งานอยู่หลากหลาย เช่น ธนาคารออนไลน์ ,
Track And Trace : Thailand Post การติดตามการขนส่งไปรษณีย์ไทย,
Paypal ระบบการชำระเงินออนไลน์ เป็นต้น อีกทั้ง
สามารถเข้าถึงข้อมูลด้วย
อุปกรณ์เคลื่อนที่ที่มาพร้อมกับแอพพลิเคชันที่รองรับการใช้งานในหลากหลายฟังก์ชัน
สามารถตอบสนองการใช้งานของผู้ใช้ได้เป็นอย่างมาก
โลกออนไลน์สามารถผสานกับโลกความจริงได้สร้างความสะดวกสบายทั้งแก่ผู้บริโภคและผู้ประกอบการ
4.การเชื่อมต่อ–Connection Social Media สร้างเครือข่ายออนไลน์รูปแบบใหม่
ที่มีข้อมูลความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน
ซึ่งความสัมพันธ์เหล่านี้อาจมาจากระบบสังคมปกติหรือสร้างใหม่จากเครือข่ายออนไลน์ผ่านทางเว็บไซต์ต่างๆ
ทั้งในระดับเดียวกัน สังคมเดียวกันและอย่างไม่เป็นทางการ
การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลหรือการเชื่อมต่อกลุ่มคนเหล่านี้เป็นพื้นฐานสำหรับการทำการตลาดของ
Social Commerce
5.ชุมชน – Community เมือมีการเชื่อมต่อความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน
ก็เกิดเป็นสังคมขึ้น Social Media สามารถสร้างความสัมพันธ์ของกลุ่มผู้ใช้บริการ
ที่มีความสนใจคล้ายๆกัน ก่อให้เกิดเป็นชุมชนต่างๆ
พื้นที่โลกออนไลน์ที่ทุกคนสามารถมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกัน ยกตัวอย่าง เช่น Wongnai
เป็นชุมชนในการรีวิวร้านอาหารทั่วกรุงเทพและปริมณฑล Facebook
Fan Page ร้านต่างๆ หรือแม้กระทั้ง Pantip เว็บบอร์ด
ชื่อดังของไทย เป็นต้น
6.การสนทนา–Conversation การพูดคุยหรือการสนทนา
เป็นสิ่งที่สำคัญในงานขายและการตลาด ซึ่ง Social Commerce ผู้ขายหรือผู้ซื้อสามารถเชื่อมโยงการขายสินค้าและบริการ
หรือการสอบถามข้อมูล ของตนไปในรูปแบบการแชทหรือสนทนาออนไลน์ ผ่าน Social
Media แบบต่างได้ เช่น การแทรกเรื่องราว
5.File sharing
การเรียกใช้แฟ้มข้อมูลร่วมกัน หมายถึง การที่เครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งแต่สองเครื่องขึ้นไป
สามารถเรียกใช้แฟ้มข้อมูลอันเดียวกันได้พร้อม ๆ กัน เช่น
ในกรณีที่เป็นระบบเครือข่าย
6.Social Marketing
การตลาดเพื่อสังคม
คือ การออกแบบกิจกรรมการตลาดเพื่อให้ประโยชน์ตกไปถึงสังคม แต่คำว่า Societal Marketing เป็นการนำเอาเนื้อหาสาระประเด็นทางสังคมมาใส่ในโฆษณาหรือกิจกรรมทางการตลาดของตัวเอง
ประโยชน์อาจจะไม่ได้ตกอยู่กับสังคม แต่อยู่กับองค์กร ทั้งนี้
เพื่อทำให้เกิดความใกล้ชิดกับกลุ่มเป้าหมาย เป็นการทำการตลาดทางสังคม
ไม่ใช่การตลาดเพื่อสังคม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น