ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการสมัยใหม่ (Modern Management information System): บทที่1 ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ

วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2561

บทที่1 ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ

ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ
(Management Information System : MIS)

Text Book
 ความหมายของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ
ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ (Management Information Systems) (MIS) เป็นระบบเกี่ยวกับการจัด หาคน หรือข้อมูลที่สัมพันธ์กับข้อมูล เพื่อการดำเนินงานขององค์การ เช่น การใช้ MIS เพื่อช่วยเหลือกิจกรรมของลูกจ้าง เจ้าของกิจการ ลูกค้า และบุคคลอื่นที่เจ้ามาเกี่ยวข้องกับองค์การ การประมวลผลของข้อมูลจะช่วยแบ่งภาระการ ทำงานและยังสามารถนำ สารสนเทศมา ช่วยในการตัดสินใจของผู้บริหาร หรือ MIS เป็นระบบซึ่งรวมความสามารถของผู้ใช้งานและคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกัน โดยมีจุดมุ่งหมาย เพื่อให้ได้มาซึ่งสารสนเทศเพื่อการดำเนินงานการจัดการ และการตัดสินใจในองค์การ หรือ MIS หมายถึงการเก็บรวบรวมข้อมูล การ ประมวลผล และการสร้างสารสนเทศขึ้นมาเพื่อช่วยในการตัดสินใจ การประสานงาน และการควบคุม นอกจากนั้นยังช่วยผู้บริหาร และ พนักงานในการวิเคราะห์ปัญหา แก้ปัญหา และสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ โดย MIS จะต้องใช้อุปกรณ์ทางคอมพิวเตอร์ (Hardware) และ โปรแกรม (Software) ร่วมกับผู้ใช้ (Peopleware) เพื่อก่อให้เกิดความสำเร็จในการได้มาซึ่งสารสนเทศที่มีประโยชน์
            การใช้งานระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ (Management Information Systems) ได้ขยายขอบเขตเกี่ยว ข้องกับ หลายหน้าที่ในองค์การและเป็นประโยชน์กับบุคคลหลายระดับ ตั้งแต่การใช้งานส่วนบุคคล กลุ่ม องค์การ และระหว่างหน่วยงาน MIS ช่วยให้ผู้ใช้สารสนเทศสามารถแก้ไขปัญหาทางธุรกิจที่ยุ่งยาก และซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนสร้างโอกาสทางธุรกิจ ให้กับหลายองค์การ
คุณสมบัติของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ
         1. ความสามารถในการจัดการข้อมูล Data Manipulation(ดาต้า มาลิพลูเลชัน) 
            ระบบสารสนเทศที่ดีต้องสามารถปรับปรุงแก้ไขและจัดการข้อมูล เพื่อให้เป็นสารสนเทศที่พร้อมสำหรับนำไปใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ ปกติข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ        การดำเนินธุรกิจจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ข้อมูลที่ถูกป้อนเข้าสู่ MIS ควรที่จะได้รับการปรับปรุงแก้ไขและพัฒนารูปแบบ เพื่อให้ความทันสมัยและเหมาะสมกับการ ใช้งานอยู่เสมอ
           2. ความปลอดภัยของข้อมูล Data Security (ดาต้า ชิคิวลิตี้)
 ระบบสารสนเทศเป็นทรัพยากรที่สำคัญอีกอย่างขององค์การ ถ้าสารสนเทศรั่วไหลออกไปสู่ บุคคลภายนอก โดยเฉพาะคู่แข่งขัน อาจทำให้เกิดความเสียโอกาสทางการแข่งขัน
 3. ความยืดหยุ่น Flexibility(แฟกอิบิลิตี้) 
 สภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจหรือสถานการณ์การแข่งขันทางการค้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ระบบสารสนเทศที่ดีต้องมีความสามารถในการปรับตัว          เพื่อให้สอดคล้องกับการใช้งานหรือปัญหาที่เกิดขึ้น
           4. ความพอใจของผู้ใช้ User Satisfaction(ยูเซอ ชาดิเฟกชัน)
   การพัฒนาระบบต้องทำการพัฒนาให้ตรงกับความต้องการ และพยายามทำให้ผู้ใช้พอใจกับระบบ เมื่อผู้ใช้เกิดความไม่พอใจกับระบบทำให้ความสำคัญของระบบลดน้อย        ลงไป อาจจะทำให้ไม่คุ้มค่ากับการลงทุนได้

ประโยชน์ของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ
            ปัจจุบันได้มีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้งานด้านต่างๆ มากขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าสารสนเทศ เพื่อการจัดการมีประโยชน์ดังนี้
            1.ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงสารสนเทศที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วและทันต่อเหตุการณ์เนื่องจากข้อมูลถูกจัดเก็บและบริหารอย่างเป็ยนระบบ ทำให้ผู้บริหารสามารถจะเข้าถึงข้อมูล ได้อย่างรวดเร็วในรูปแบบที่เหมาะสม และสามารถนำข้อมูลมาใช้ประโยชน์ได้ทันต่อความต้องการ
            2.ช่วยผู้ใช้ในการกำหนดเป้าหมายกลยุทธ์และการวางแผนปฏิบัติการโดยผู้บริหารจะสามารถนำข้อมูลที่ได้จากระบบสารสนเทศมาช่วยในการวางแผนและกำหนดเป้าหมายในการ ดำเนินงาน เนื่องจากสารสนเทศถูกเก็บรวบรวม และจัดการอย่างเป็นระบบทำให้มีประวัติของข้อมูลอย่างต่อเนื่อง สามารถที่จะบ่งชี้แนวโน้มของการดำเนินงานว่าน่าจะเป็นไปในลักษณะใด
            3.ช่วยให้ผู้ใช้ในการตรวจสอบผลการดำเนินงาน เมื่อแผนงานถูกนำไปปฏิบัติในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ผู้ควบคุมจะต้องตรวจสอบผลการดำเนินงานโดยนำข้อมูลบางส่วนมาประมวลผล เพื่อประกอบการประเมินสารสนเทศที่ได้จะแสดงให้เห็นผลการดำเนินงานว่าสอดคล้องกับเป้าหมายที่ต้องการเพียงใด
            4.ช่วยผู้ใช้ในการศึกษาและวิเคราะห์สาเหตุของปัญหา ผู้บริหารสามารถใช้ระบบสารสนเทศ ประกอบการศึกษา และการค้นหาสาเหตุ หรือข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นในการดำเนินงาน ถ้าการดำเนินงานไม่เป็นไปตามแผนที่วางเอาไว้ โดยอาจจะเรียกข้อมูลเพิ่มเติมออกมาจากระบบ เพื่อให้ทราบว่าความผิดพลาดในการปฏิบัติงานเกิดขึ้น จากสาเหตุใด หรือจัดรูปแบบสารสนเทศในการวิเคราะห์ปัญหาใหม่
            5.ช่วยให้ผู้ใช้สามารถวิเคราะห์ปัญหาหรืออุปสรรคที่เกิดขึ้น เพื่อหาวิธีควบคุม ปรับปรุงและแก้ไขปัญหาสารสนเทศที่ได้จากการประมวลผลจะช่วยให้ผู้บริหารวิเคราะห์ว่าการ ดำเนินงานในแต่ละทางเลือกจะช่วยแก้ไขปัญหาหรือควบคุมปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างไร ธุรกิจต้องทำอย่างไรเพื่อปรับเปลี่ยนหรือพัฒนา ให้การดำเนินงานเป็นไปตามแผนงานหรือเป้าหมาย
            6.ช่วยลดค่าใช้จ่าย ระบบสารสนเทศที่มีประสิทธิภาพช่วยให้ธุรกิจลดเวลา แรงงาน และค่าใช้จ่าย ในการทำงานลง เนื่องจากระบบสารสนเทศสามารถรับภาระงานที่ต้องใช้แรงงาน จำนวนมาก ตลอดจนช่วยลดขั้นตอนในการทำงาน ส่งผลให้ธุรกิจสามารถลดจำนวนคนและระยะเวลาในการประสานงานให้น้อยลง โดยผลงานที่ออกมาอาจเท่าเดิมหรือดีกว่าซึ่งจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพและศักยภาพในการแข่งขันของธุรกิจ
ระบบสารสนเทศในองค์กร
บทบาทของระบบสารสนเทศในองค์กร
            หมายถึง โครงสร้างทางสังคมอย่างเป็นทางการที่มีความมั่นคง โดยรับเอาทรัพยากรจากสิ่งแวดล้อมมาผ่านกระบวนการเพื่อสร้างหรือผลิตผลลัพธ์ คำจำกัดความด้านเทคนิคนี้จะเน้นองค์ประกอบ 3 ส่วนคือ
            1.ปัจจัยหลักด้านการผลิต ได้แก่ เงินทุนและแรงงาน
            2.กระบวนการผลิต ซึ่งจะเปลี่ยนสิ่งที่นำเข้าให้เป็นผลิตภัณฑ์
            3.ผลผลิต ได้แก่ สินค้าและบริการ

 ผลกระทบของระบบสารสนเทศในองค์กร
มีผลกระทบต่อกระบวนการทำงานและโครงสร้างขององค์กรดังนี้
1.ลดระดับขั้นของการจัดการ
2.มีความคล่องตัวในการดำเนินงาน
3.ลดขั้นตอนการดำเนินงาน
4.เปลี่ยนแปลงงกระบวนการจัดการ
5.กำหนดขอบเขตการดำเนินงานใหม่
องค์กรเสมือนจริง (Virtual Organization)
            เป็นรูปแบบขององค์กรแบบใหม่ ซึ่งเป็นเครือข่ายขององค์การที่เชื่อมโยงกันด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อแลกเปลี่ยนทักษะ ลดต้นทุน สร้างและกระจายสินค้าและบริการ โดยไม่มีข้อจำกัดเกี่ยวกับสถานที่ตั้งขององค์กร ลักษณะขององค์กรเสมือนจริงมีดังนี้
            1.มีขอบเขตขององค์การไม่ชัดเจน เนื่องจากอาจกระจายอยู่ต่างสถานที่กัน ทำให้ยากต่อการกำหนดขอบเขตที่แน่ชัดขององค์กร
            2.มีความเป็นเลิศ องค์กรอิสระแต่ละองค์กรจะนำความสามารถหลักหรือความเป็นเลิศมาใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์ทางการตลาด
            3.ใช้เทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคม
            4.มีความไว้วางใจ

            5.มีโอกาสทางการตลาด องค์กรอิสระต่างๆ อาจรวมกันเป็นองค์กรเสมือนจริงในลักษณะถาวรหรือชั่วคราวเนื่องจากเห็นว่ามีโอกาสทางการตลาด และสลายตัวเมื่อโครงการจบ

ระดับของผู้ใช้ระบบสารสนเทศ
            1.ผู้ปฏิบัติงาน (Worker) เป็นบุคลากรที่ดำเนินงานด้านการสนับสนุนและอำนวยความสะดวกให้กับบุคลากรฝ่ายต่างๆ เป็นผู้ทำกิจกรรมประจำวันตลอดจนจัดทำฐานข้อมูลและรายงานขององค์กร
            2.ผู้บริหารระดับปฏิบัติการ (Operational Manager) หรือเรียกทั่วไปว่า หัวหน้างาน ผู้บริหารระดับนี้จะทำหน้าที่ควบคุมและดูแลการดำเนินงานประจำวันของบุคลากรระดับปฏิบัติบัติงานให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
            3.ผู้บริหารระดับกลาง (Middle Manager) เป็นผู้ที่กำกับการบริหารงานของผู้บริหารระดับปฏิบัติการ รวมทั้งวางแผนกลยุทธ์วิธีเพื่อให้การดำเนินงานขององค์การบรรลุเป้าหมาย นอกจากนี้ยังต้องทำหน้าที่ประสานงานกับผู้บริหารระดับสูงเพื่อรับนฌยบาย แล้วนำมาวางแผนการปฏิบัติงาน
            4.ผู้บริหารระดับสูง (Senior Manager) หรือเรียกว่า Exective Managers เป็นผู้บริหารระดับสูงสุดขององค์การ เป็นผู้ที่รับผิดชอบด้านการวางแผนกลยุทธ์  ในการกำหนดเป้าหมาย และ วัตถุประสงค์ขององค์การตลอดจนดูแลองค์การในภาพรวม

ความสัมพันธ์ของระบบสารสนเทศแบบต่างๆ
            ความสัมพันธ์ของระบบสารสนเทศแบบต่างๆ ในองค์การ โดยปกติแล้ว TPS จะเป็นแหล่งข้อมูลพื้นฐานให้กับระบบสารสนเทศอื่นๆ ในขณะที่ EIS จะเป็นการระบบที่รับข้อมูลจากระบบสารสนเทสในระดับที่ต่ำกว่านอกจากนี้ ในระบบสารสนเทศฝ่ายผลิต และระบบสารสนเทศฝ่ายจัดส่งสินนค้า เป็นต้น


 คุณสมบัติที่ดีของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ
            1.ความสามารถในการจัดการข้อมูล (data manipulation) เพื่อให้เป็นสารสนเทศที่ พร้อมสำหรับนำไปใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ ปกติข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
            2.ความมั่นคงของข้อมูล (data security) ที่เกิดขึ้นอาจจะเกิดจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือ การก่อกการร้ายต่อระบบทำให้สารสนเทศรั่วไหลออกไปสู่บุคคลภายนอก
            3.ความยืดหยุ่น (flexibility) สามารถในการปรับตัวได้เข้ากับสถานการณ์ได้เพื่อให้สอดคล้องกับการใช้งาน การบำรุงรักษา และค่าใช้จ่ายที่เหมาะสม

            4.ความพอใจของผู้ใช้ (user satisfaction) โดยพัฒนาระบบให้ตรงกับความต้องการ และพยายามทำให้ผู้ใช้เกิดความพอใจ สามารถกระตุ้นหรือโน้มน้าวให้ผู้ใช้หันมาใช้ระบบ ให้มากขึ้นทำให้ระบบมีความสำคัญและคุ้มค่ากับการลงทุน
การประยุกต์ใช้ธุรกิจเพื่อสังคม
1.Social Network
คือ เครือข่ายสังคมออนไลน์ หรือเป็นการบริการที่เชื่อมโยงคนหลายคนเข้าไว้ด้วยกันผ่านอินเตอร์เน็ต ตัวอย่างของ Social Network ได้แก่ Facebook Twitter Hi5 Blogger เป็นต้น ซึ่งเปรียบเหมือนสังคมจำลองเสมือนจริง
2.Crowdsourcing
คือการกระจายปัญหาไปยังกลุ่มค้นเพื่อค้นหาคำตอบ และวิธีการในการแก้ปัญหาทางธุรกิจนั้นๆ บริษัทสามารถ broadcast คำถามหรือปัญหาที่ต้องการคำตอบไปยังกลุ่มคนขนาดใหญ่เพื่อให้ได้มาซึ่งวิธีการใหม่ ๆ Crowd หรือ User ส่วนมากในการทำ Crowdsourcing เราจะหมายถึงกลุ่มชุมชน Online
3.Blogs and wikis
เป็นรูปแบบเว็ปไซต์ประเภทหนึ่ง ซึ่งถูกเขียนขึ้นในลำดับที่เรียงตามเวลาในการเขียน ซึ่งจะแสดงข้อมูลที่เขียนล่าสุดไว้แรกสุด บล็อกโดยปกติจะประกอบด้วย ข้อความ ภาพ  ลิงก์ ซึ่งบางครั้งจะรวมสื่อต่างๆ ไม่ว่า เพลง หรือวิดีโอ ในหลายรูปแบบได้ จุดที่แตกต่างของบล็อกกับเว็บไซต์โดยปกติคือ บล็อกจะเปิดให้ผู้เข้ามาอ่านข้อมูล สามารถแสดงความคิดเห็นต่อท้ายข้อความที่เจ้าของบล็อกเป็นคนเขียน ซึ่งทำให้ผู้เขียนสามารถได้ผลตอบกลับโดยทันที คำว่า "บล็อก" ยังใช้เป็นคำกริยาได้ซึ่งหมายถึง การเขียนบล็อก และนอกจากนี้ผู้ที่เขียนบล็อกเป็นอาชีพก็จะถูกเรียกว่า "บล็อกเกอร์"   บล็อกเป็นเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาหลากหลายขึ้นอยู่กับเจ้าของบล็อก โดยสามารถใช้เป็นเครื่องมือสื่อสาร การประกาศข่าวสาร การแสดงความคิดเห็น การเผยแพร่ผลงาน ในหลายด้านไม่ว่า อาหาร การเมือง เทคโนโลยี หรือข่าวปัจจุบัน นอกจากนี้บล็อกที่ถูกเขียนเฉพาะเรื่องส่วนตัวหรือจะเรียกว่ไดอารีออนไลน์ ซึ่งไดอารีออนไลน์นี่เองเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้บล็อกในปัจจุบัน นอกจากนี้ตามบริษัทเอกชนหลายแห่งได้มีการจัดทำบล็อกของทางบริษัทขึ้น เพื่อเสนอแนวความเห็นใหม่ใหักับลูกค้า โดยมีการเขียนบล็อกออกมาในลักษณะเดียวกับข่าวสั้น และได้รับการตอบรับจากทางลูกค้าที่แสดงความเห็นตอบกลับเข้าไป เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์
4.Socail commerce
Social Commerce เป็นธุรกรรมเชิงพาณิชย์ที่เกิดขึ้นอย่างแพร่หลาย ต่างกับเทคโนโลยีใหม่อื่นๆ ที่ต้องใช้เวลานาน กว่าจะมีผู้ใช้อย่างกว้างขวาง ทั้งนี้เป็นการผสาน E-Commerce และ Social Media รวมเป็นคุณสมบัติ 6C
1.เนื้อหา – Content     ส่วนสำคัญที่สุด ผู้ประกอบการมีรายละเอียดสินค้าบนเว็บไซต์ของตนและปรับปรุงให้ทันสมัย และลูกค้าสามารถใช้ Search Engine ค้นหาข้อมูลสินค้าและข้อมูลด้านอื่นของสินค้านั้นได้ เพื่อประกอบการตัดสินใจ เช่น สื่อโฆษณาใน Youtube และ รีวิวความคิดเห็นจากลูกค้ารายอื่น การให้คะแนนจากลูกค้าที่เคยใช้สินค้า ข้อมูลที่ลูกค้าตรวจสอบจากการใช้สินค้าผ่านบทวิจารณ์สินค้า หรือ Comment เกี่ยวกับสินค้าใน Social Media ต่างๆ
2.การพาณิชย์ – Commerce       รูปแบบพาณิชย์ของ Social Media สามารถสนองตอบความต้องการทุกรูปแบบของลูกค้าได้ รับรองประเภทสินค้าและบริการได้มากชนิดขึ้น มีตั้งแต่ระดับเล็กๆจนถึงระดับใหญ่ และการติดต่อได้หลากหลายช่องทางมากกว่าเดิม   รูปแบบพาณิชย์ใหม่ๆ มีตั้งแต่ การรับดูดวงผ่าน Skype ประกาศขายสินค้าทาง Instagram , Facebook Shop ,รับออร์เดอร์สินค้าแบบขายส่งผ่าน Line อื่นๆอีกมากมาย
3.บริบท      –Context   Social Commerce อยู่บนพื้นฐาน E-Commerce นั้นมีสภาพแวดล้อมและเงื่อนไขต่างๆ ที่ต้องประสานการทำงานกับระบบ ระบบขนส่ง ระบบการชำระเงิน หรือระบบอื่นๆ ซึ่งระบบเหล่านี้มีให้บริการออนไลน์ ให้ใช้งานอยู่หลากหลาย เช่น ธนาคารออนไลน์ , Track And Trace : Thailand Post การติดตามการขนส่งไปรษณีย์ไทย, Paypal ระบบการชำระเงินออนไลน์ เป็นต้น อีกทั้ง สามารถเข้าถึงข้อมูลด้วย อุปกรณ์เคลื่อนที่ที่มาพร้อมกับแอพพลิเคชันที่รองรับการใช้งานในหลากหลายฟังก์ชัน สามารถตอบสนองการใช้งานของผู้ใช้ได้เป็นอย่างมาก โลกออนไลน์สามารถผสานกับโลกความจริงได้สร้างความสะดวกสบายทั้งแก่ผู้บริโภคและผู้ประกอบการ
4.การเชื่อมต่อ–Connection Social Media สร้างเครือข่ายออนไลน์รูปแบบใหม่ ที่มีข้อมูลความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน ซึ่งความสัมพันธ์เหล่านี้อาจมาจากระบบสังคมปกติหรือสร้างใหม่จากเครือข่ายออนไลน์ผ่านทางเว็บไซต์ต่างๆ ทั้งในระดับเดียวกัน สังคมเดียวกันและอย่างไม่เป็นทางการ การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลหรือการเชื่อมต่อกลุ่มคนเหล่านี้เป็นพื้นฐานสำหรับการทำการตลาดของ Social Commerce
5.ชุมชน – Community เมือมีการเชื่อมต่อความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน ก็เกิดเป็นสังคมขึ้น Social Media สามารถสร้างความสัมพันธ์ของกลุ่มผู้ใช้บริการ ที่มีความสนใจคล้ายๆกัน ก่อให้เกิดเป็นชุมชนต่างๆ พื้นที่โลกออนไลน์ที่ทุกคนสามารถมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกัน ยกตัวอย่าง เช่น Wongnai เป็นชุมชนในการรีวิวร้านอาหารทั่วกรุงเทพและปริมณฑล Facebook Fan Page ร้านต่างๆ หรือแม้กระทั้ง Pantip เว็บบอร์ด ชื่อดังของไทย เป็นต้น
6.การสนทนา–Conversation     การพูดคุยหรือการสนทนา เป็นสิ่งที่สำคัญในงานขายและการตลาด ซึ่ง Social Commerce ผู้ขายหรือผู้ซื้อสามารถเชื่อมโยงการขายสินค้าและบริการ หรือการสอบถามข้อมูล ของตนไปในรูปแบบการแชทหรือสนทนาออนไลน์ ผ่าน Social Media แบบต่างได้ เช่น การแทรกเรื่องราว
5.File sharing
การเรียกใช้แฟ้มข้อมูลร่วมกัน หมายถึง การที่เครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งแต่สองเครื่องขึ้นไป สามารถเรียกใช้แฟ้มข้อมูลอันเดียวกันได้พร้อม ๆ กัน เช่น ในกรณีที่เป็นระบบเครือข่าย

6.Social Marketing
การตลาดเพื่อสังคม คือ การออกแบบกิจกรรมการตลาดเพื่อให้ประโยชน์ตกไปถึงสังคม แต่คำว่า Societal Marketing เป็นการนำเอาเนื้อหาสาระประเด็นทางสังคมมาใส่ในโฆษณาหรือกิจกรรมทางการตลาดของตัวเอง ประโยชน์อาจจะไม่ได้ตกอยู่กับสังคม แต่อยู่กับองค์กร ทั้งนี้ เพื่อทำให้เกิดความใกล้ชิดกับกลุ่มเป้าหมาย เป็นการทำการตลาดทางสังคม ไม่ใช่การตลาดเพื่อสังคม





อ้างอิง
odarknesso.blogspot.com




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทที่ 8 ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ

บทที่ 8 Decision Support System ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ      ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ คือ ระบบที่ช่วยในการตัดสินใจเกี่ยวกับการจัดการ ...